head-anubanbankha-min
วันที่ 12 พฤษภาคม 2024 2:40 AM
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ โรงเรียนอนุบาลบ้านคา
โรงเรียนอนุบาลบ้านคา
หน้าหลัก » นานาสาระ » ยุคไดโนเสาร์ ถ้าไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อน

ยุคไดโนเสาร์ ถ้าไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อน

อัพเดทวันที่ 22 มิถุนายน 2023

ยุคไดโนเสาร์ เราได้สำรวจต้นกำเนิดของมนุษย์และโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือติดตามที่ทำงานอย่างต่อเนื่องบนโลกเพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของโลก โชคดีที่เรายังสามารถค้นพบโลกท่ามกลางเบาะแสที่เหลืออยู่ของต้นกำเนิด เหตุผลที่เรามองหารอยเท้าของอดีตอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะการค้นหาต้นกำเนิดของมนุษย์นั้น นอกจากจะช่วยให้เราเข้าใจต้นกำเนิดของวิวัฒนาการทางชีววิทยาได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนามนุษย์ในอนาคตได้อย่างมากอีกด้วยแต่เดิมในจินตนาการของมนุษย์เรา เชื่อกันว่ามนุษย์และทุกสิ่งในโลกนี้เกิดและตายพร้อมๆกัน แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกกลับพบว่าไม่เป็นเช่นนั้น

ในความเป็นจริงโลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 4.6 พันล้านปีก่อน แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์บนโลกดึกดำบรรพ์ แม้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัสดุและมีสภาพอากาศที่เหมาะสม แต่โลกดึกดำบรรพ์ที่สุดไม่เป็นเช่นนั้น และไม่มีออกซิเจนที่เหมาะสมสำหรับชีวิตมนุษย์เลย เหตุผลที่สภาพแวดล้อมของโลกจะเปลี่ยนไป เป็นเพราะสาหร่ายถูกผลิตขึ้นอย่างช้าๆในมหาสมุทรดึกดำบรรพ์ และสาหร่ายขนาดเล็กและเรียบง่ายเหล่านี้ ค่อยๆเปลี่ยนองค์ประกอบในชั้นบรรยากาศของโลกดึกดำบรรพ์ แม้ว่ามนุษย์เราในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีไฮเทคและความก้าวหน้าในด้านต่างๆ และมนุษย์อ้างว่าเป็นห่วงโซ่อาหารบนสุดของโลก แต่มนุษย์อย่างเราๆก็ไม่มีวันเหนือกว่าธรรมชาติได้

ตัวอย่างเช่น แม้ว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่เราก็ยังไม่สามารถสร้างเซลล์ที่ง่ายที่สุดได้แม้แต่เซลล์ที่ง่ายที่สุด และในประวัติศาสตร์ของโลก มีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ถึง 5 ครั้งก่อน การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทั้ง 5 ครั้ง มีเจ้าเหนือห่วงโซ่อาหารที่สามารถครองโลกได้

มีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ถึง 5 ครั้ง ในประวัติศาสตร์โลก จากการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ สาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดน่าจะมาจากการลดลงของอุณหภูมิมหาสมุทรและระดับน้ำทะเลที่ลดลง เพราะอย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์กำเนิดขึ้น ในมหาสมุทรดึกดำบรรพ์และแหล่งรวมของสิ่งมีชีวิต บนโลกดึกดำบรรพ์อยู่บนพื้นที่น้ำตื้นไหล่ทวีป

ในช่วงเวลานั้นสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากมหาสมุทร ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของท้องทะเล จึงนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมาก รวมถึง ไทรโลไบท์ เป็นต้น ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 85 เปอร์เซ็นต์ของมหาสมุทร คิดเป็นส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ และเหยื่อที่ร้ายแรงที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่ก้นมหาสมุทร เช่น ติ่งปะการัง แบรคิโอพอด และอื่นๆ

ยุคไดโนเสาร์

เรายังเรียกการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นี้ ว่าการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของยุคออร์โดวิเชียน การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของยุคออร์โดวิเชียน ยังนำไปสู่การลดลงอย่างรวดเร็วของสิ่งมีชีวิตบนโลก และมีเพียงสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยมากเท่านั้นที่รอดชีวิต การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของออร์โดวิเชียน อาจมีสาเหตุมาจากระดับน้ำทะเลที่ลดลง สัตว์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งมีชีวิตในทะเล

ในช่วงปลายยุคดีโวเนียน พืชและแมลงหลายชนิดได้วิวัฒนาการบนโลก แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้สรุปสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาเหตุของการสูญพันธุ์ทางชีวภาพนั้น เกิดจากผลกระทบของสิ่งแวดล้อมด้วย ในปัจจุบัน สาเหตุของการสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งที่สองมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟหรือการไหลเข้าของหินหนืด สาเหตุที่ยังไม่มีข้อสรุปก็คือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 กินเวลานาน

แม้ว่าขณะนั้นจะไม่ได้มีเพียงสิ่งมีชีวิตในทะเลบนโลกเท่านั้น แต่สิ่งมีชีวิตในทะเลก็ยังได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด สัตว์และพืชบนบกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นสูญพันธุ์ แต่แนวปะการังในมหาสมุทรถูกทำลายไปเกือบหมดในครั้งนี้ ในช่วงที่เสียหายอย่างหนัก การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นี้เรียกอีกอย่างว่าการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในยุคดีโวเนียนตอนปลาย

สปีชีส์หลักที่สูญพันธุ์ในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 3 ได้แก่ สัตว์ทะเลและสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบก และยังเป็นสัตว์ที่มีระยะเวลาฟื้นตัวนานที่สุด เมื่อเทียบกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ สัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกเกือบร้อยละ 70 สูญพันธุ์ไปจากภัยพิบัติครั้งนี้ ใช้เวลากว่าพันปีในการฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่มีบทบาทอย่างมากในยุคพาลีโอโซอิกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และระบบนิเวศบนบกได้รับความเสียหายอย่างหนัก มันถูกตั้งชื่อโดยนักวิทยาศาสตร์ว่า เป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในตอนท้ายของยุคเพอร์เมียน

การสูญพันธุ์ครั้งที่ 4 เรียกว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของไทรแอสซิก-จูราสสิกในช่วงภัยพิบัตินี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้รับผลกระทบอย่างมาก และผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือสัตว์และพืชบนบก เพราะภัยพิบัติครั้งนี้นำไปสู่การสูญพันธุ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่จำนวนมาก และการหายไปของฟอสซิลที่ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้จำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เช่น ไดโนเสาร์และยังทำให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในยุคครีเทเชียส-พาเลโอจีน สิ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งนี้คือเหล่าเจ้าเหนือหัวที่ครองโลกในเวลานั้นอย่างไดโนเสาร์ นอกจากนี้ สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่จำนวนมากได้สูญพันธุ์ไปแล้ว นก กิ้งก่า และสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้รับผลกระทบ แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่รอดชีวิตโดยบังเอิญ

แท้จริงแล้วการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ไม่มีข้อดี แต่เป็นเพราะการคัดเลือกของธรรมชาติเท่านั้นที่ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ไม่สามารถข้ามห่วงโซ่อาหารด้วยกำลังของตนเองมีโอกาสวิวัฒนาการได้ ตัวอย่างเช่น หากไม่ใช่เพราะการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดสุดท้าย มนุษย์เราอาจไม่มีโอกาสอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

ตามซากฟอสซิลที่มีอยู่ก็พอทราบได้ว่าขนาดของไดโนเสาร์นั้นใหญ่มาก และไดโนเสาร์ก็มีหลายประเภทไม่ว่าจะอยู่บนฟ้า ใต้ดิน หรือในทะเลก็มี ยุคไดโนเสาร์ และตามแหล่งอาหารของไดโนเสาร์ เราแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ไดโนเสาร์กินเนื้อและไดโนเสาร์กินพืช อันที่จริงสิ่งมีชีวิตมากมายบนโลกทุกวันนี้มีวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์

แต่โลกจะเป็นอย่างไรหากไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว ประชาชนจะอยู่อย่างไร ในความเป็นจริงผู้คนถกเถียงกันเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ผู้คนมีมุมมองที่แตกต่างกันสองประเด็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ คนหนึ่งคิดว่ามนุษย์สามารถเอาชนะไดโนเสาร์และขึ้นสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งคิดว่ามนุษย์เราจะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่ออยู่ในรอยแยกเท่านั้น

อันที่จริง เหตุที่มนุษย์สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้นั้น ล้วนเป็นเพราะมนุษย์มีวิวัฒนาการของอารยธรรมขั้นสูง การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตต้องการเพียงสภาพความเป็นอยู่ที่เพียงพอ แต่การวิวัฒนาการของอารยธรรมขั้นสูงไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามเงื่อนไขนี้เท่านั้น ในสมัยโบราณการอยู่รอดของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งก็คือมนุษย์โบราณนั้นเป็นเรื่องยากมาก

ประการแรกมนุษย์ไม่ได้พัฒนาอาวุธที่แหลมคม ไม่มีร่างกายที่เทียบได้กับสัตว์ร้าย และไม่ได้พัฒนาแขนขาที่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นหากมนุษย์ในสมัยโบราณต้องการอาศัยอยู่ในสภาพดินที่สลับซับซ้อน พวกเขาต้องหาทางอื่น โดยเลือกที่จะเดินตัวตรงและทำอาวุธ เพื่อต่อต้านศัตรูตามธรรมชาติและล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ

แต่ไดโนเสาร์ไม่เหมือนกับศัตรูตามธรรมชาติอื่นๆของมนุษย์ ณ เวลานั้น ตรงกันข้าม ไดโนเสาร์นำการทำลายล้างมาสู่มนุษย์มากกว่า โดยเฉพาะไทแรนโนซอรัสที่กินเนื้อเป็นอาหาร ซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับไดโนเสาร์ได้ ไม่มีทางขึ้นไปยืนบนสุดของห่วงโซ่อาหารได้แน่นอน ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ มนุษย์ไม่มีทางที่จะพัฒนาสมองของพวกเขาในอัตราที่ค่อนข้างอ่อนโยน นับประสาอะไรกับการพัฒนาอารยธรรมมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ภายใต้การคุกคามที่รุนแรงเช่นนี้ มนุษย์อาจอยู่รอดได้เท่านั้น นับประสาอะไรกับบนสุดของห่วงโซ่อาหาร แล้วไดโนเสาร์ที่มีความร้ายแรงเช่นนี้พัฒนาอย่างครอบคลุมได้อย่างไร อันที่จริงบรรพบุรุษของไดโนเสาร์คือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ลักษณะหนึ่งของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก คือพวกมันไม่สามารถอยู่นอกน้ำได้อย่างสมบูรณ์ การหายใจและการสืบพันธุ์ของพวกมันยังคงแยกออกจากน้ำไม่ได้ ดังนั้น หากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกต้องวิวัฒนาการต่อไปพวกมันต้องขึ้นจากน้ำ และกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถอยู่ได้อย่างอิสระบนบก

เพื่อป้องกันตัวเองจากสภาพแวดล้อมบนบกที่ซับซ้อน สัตว์เลื้อยคลานได้พัฒนาการทำงานของปอด และมาตรการป้องกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นก้าวแรกสำหรับไดโนเสาร์ที่จะครองโลก และเพื่อให้ฟักลูกได้ดีขึ้นและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต สัตว์เลื้อยคลานจึงค่อยๆพัฒนาไข่น้ำคร่ำ นั่นคือมีชั้นไข่บางๆที่แข็งและหนาแน่นที่เปลือกนอกของไข่ ด้วยวิธีนี้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการบุกรุกของจุลินทรีย์ได้ดีขึ้น

และแม้ว่าไดโนเสาร์จะมีขนาดใหญ่มากในการรับรู้ของเรา แต่จริงๆแล้วมีไดโนเสาร์เพียงประเภทเดียวที่มีขนาดใหญ่ นั่นคือไดโนเสาร์ซอโรพอดในยุคของไดโนเสาร์ แม้แต่ซอโรพอดที่เล็กที่สุดก็ยังใหญ่กว่าสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตของพวกมัน ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่ไดโนเสาร์สามารถครองโลกได้

บทความที่น่าสนใจ : หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรคหัวใจ

นานาสาระ ล่าสุด
โรงเรียนอนุบาลบ้านคา
โรงเรียนอนุบาลบ้านคา
โรงเรียนอนุบาลบ้านคา
โรงเรียนอนุบาลบ้านคา